จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ: การนำ Objectives-Based Management มาใช้พัฒนาตัวเอง
"Objectives are not fate; they are direction. They are not commands; they are commitments. They do not determine the future; they are the means to mobilize the resources and energies of the business for the making of the future."
“เป้าหมายไม่ใช่โชคชะตา แต่มันคือทิศทาง มันไม่ใช่คำสั่ง แต่คือคำมั่นสัญญา พวกมันไม่ได้กำหนดอนาคต แต่เป็นเครื่องมือในการระดมทรัพยากรและพลังงานขององค์กรเพื่อสร้างอนาคต”
Peter F. Drucker
ครับ ประโยคดังกล่าวที่หยิบยกมาเป็นของ ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ (เสียชีวิตปี ค.ศ. 2005) ซึ่งเป็นยอดนักคิดผู้บุกเบิกกระบวนการบริหารจัดการขององค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ซึ่งตัวของดรักเกอร์เองมีแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการองค์กรที่ต่างไปจากสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีตกาล โดยแนวคิดที่เป็นจุดเด่นของดรักเกอร์ คือความพยายามที่จะทำความเข้าใจความซับซ้อนต่างๆ ของสังคม และพยายามถอดสรุปสิ่งที่เข้าใจออกมาเป็นแนวคิดที่ได้มาจากประสบการณ์ปฏิบัติ ซึ่งถ้าจะให้สมญานามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารจัดการสมัยใหม่” ก็ไม่ปาน
กล่าวคือ แนวคิดการบริหารองค์กรในปัจจุบัน ล้วนมีรากฐานมาจากการค้นคว้าของดรักเกอร์แทบทั้งสิ้น โดยดรักเกอร์ ได้วางรากฐานในเรื่องของ Management by Objectives หรือ MBO ที่ถูกพัฒนาระบบการบริหารขึ้นในช่วงศตรรษที่ 20 อันมีแนวคิดเรื่องการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และการบริหารที่มุ่งเน้นผลลัพธ์อันจะสามารถช่วยให้ผลลัพธ์เป็นไปในทางที่ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในองค์กร แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับยุคของแรงงานทางความรู้ (Knowledge Workers) (เป็นศัพท์ที่มีนักวิชาการด้านการบริหารชาวอเมริกันได้เขียนถึงเมื่อราย ค.ศ. 1950-1960) และความต้องการในการบริหารที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในปัจจุบัน โดยจะเรียกกันว่า Objectives-Based Management
แล้ว Objectives-Based Management คืออะไร?
ดังกล่าวคือวิธีการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการตั้งเป้าหมายและดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมักจะใช้ในองค์กรหรือหน่วยงานที่ต้องการสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน รวมถึงการวางแผยเชิงกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของงานและจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเมื่อมองในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่า Objectives-Based Management อาจไม่ใช่ทักษะเดี่ยวๆ โดยตัว หากแต่เป็นกระบวนการบริหารที่ต้องอาศัยทักษะหลายด้านรวมกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเน้นไปยังการบริหารงานที่มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร และดูผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการทำตามแผนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้นๆ พร้อมกับชี้ให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับทักษะหลากหลายที่ทำงานร่วมกัน เพื่อให้องค์กรหรือทีมสามารถบรรลุเป้าหมายไปได้
Management by Objectives กับ Objectives-Based Management ต่างกันอย่างไร?
ตามที่กล่าวไปข้างต้นเมื่อครู่ ว่าปีเตอร์ ดรักเกอร์ เป็นผู้ริเริ่มวงรากฐานของการบริหารองค์กรยุคใหม่ โดยเรียกว่า Management by Objectives หรือ MBO ซึ่งหากเมื่อเรามาดูที่ตัวศัพท์ภาษาอังกฤษ จะเห็นว่า เหมือนเอาคำมาสลับหน้าหลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามนั้นครับ ว่าทั้ง Management by Objectives และ Objectives-Based Management หรือ OBM ไม่มีความแตกต่างกัน หากแต่สิ่งที่ต่างกันคือ OBM นั้นจะมีมิติที่ครอบคลุมมากกว่าซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของบริบทและการพัฒนาในยุคสมัยใหม่ ซึ่งจะอธิบายต่อไปในภาพรวมได้ว่า
Management by Objectives เป็นแนวคิดดั้งเดิมที่เน้นการจัดการแบบเป็นระบบและกำหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะที่ Objectives-Based Management เป็นแนวทางที่เน้นการปรับตัวให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันและความต้องการของยุคสมัยที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กรในภาพรวม โดยเป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก MBO เพื่อตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและนวัตกรรม
เกี่ยวกับเรื่องนี้หากผู้อ่านอยากทราบรายละเอียดมากยิ่งขึ้น ทางสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “การบริหารจัดการในศตวรรษที่ 21” และยังเป็นหนังสือที่เขียนโดย ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ อีกด้วย โดยท่านสามารถสืบค้นได้ที่นี่ครับ [Holdings:...]
จะใช้กับบริบทของระบบการศึกษาอย่างไรได้บ้าง?
ตามที่ทราบกันมาแล้ว ว่าเป็นแนวทางการจัดการที่มุ่งเน้นการตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งหากว่ากันในการนำมาใช้กับระบบการศึกษา จะสามารถช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถมองเห็นเป้าหมายร่วมกันและทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้ การใช้ Objectives-Based Management ในบริบทของนักศึกษา จะช่วยให้เกิดความรับผิดชอบในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับต่อยอดในอนาคต ซึ่งอาจแบ่งเป็นข้อต่างๆ ได้ดังนี้
1 : การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน – ผู้เรียนจะมีความเข้าใจในสิ่งที่ต้องทำเพื่อบรรลุผลลัพธ์ตามหลักสูตร ซึ่งช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
2 : การปรับกระบวนการเรียนรู้ – OBM ช่วยให้สามารถปรับรูปแบบการสอนและวิธีการประเมินผลให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน โดยเน้นที่ความยืดหยุ่นในการเรียนรู้
3 : การติดตามและประเมินผล – ระบบ OBM จะมีเครื่องมือในการติดตามความก้าวหน้าและประเมินในการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนแต่ละคน ทำให้สามารถปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง
4 : ส่งเสริมการมีส่วนร่วม – ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการเรียนรู้ของตนเองซึ่งช่วยเพิ่มความรับผิดชอบและสร้างความเป็นเจ้าของต่อกระบวนการเรียนรู้ที่เจ้าตัวมีการกำหนดเป้าหมายขึ้นเองไว้
5 : เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต - การศึกษาแบบ OBM ไม่เพียงแต่เน้นผลลัพธ์ในห้องเรียน แต่ยังช่วยเตรียมผู้เรียนให้พร้อมสำหรับตลาดแรงงาน โดยมุ่งเน้นทักษะที่จำเป็นในการทำงาน [สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับSkill Mappingได้ที่บทความนี้]
ดังที่กล่าวมาข้างต้น Objectives-Based Management เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาการศึกษาของผู้เรียน โดยช่วยให้เกิดความชัดเจนในเป้าหมายการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะและความรู้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง การนำ OBM ไปใช้ในระบบการศึกษาจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถต่อยอด รวมถึงยกระดับคุณภาพการศึกษาและเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสู่อนาคตได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี หากผู้อ่านคิดว่าดูคุ้นๆ กับบางอย่างที่เกิดขึ้นกับระบบการศึกษา สิ่งนั้นมาจากการที่ระบบการศึกษาที่มีการเน้นย้ำคำว่า Outcome-Based Education (OBE) ที่มีความสัมพันธ์กับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานใน พ.ศ. 2551 โดยหลักสูตรแกรกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับ OBE ที่การมุ่งเน้นผลลัพธ์ - การให้ความสำคัญกับ สมรรถนะของผู้เรียน เช่น มีความสามารถในการสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักใน OBE - มีการประเมินผล ที่จะประเมินให้เหมาะสมกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ [สามารถค้นคว้าเรื่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ที่นี่]
ซึ่งเมื่อเราต่างมองกันในภาพรวม แม้จะไม่ได้กล่าวโดยตรง แต่จะห็นได้ว่าทั้งสองนี้แทบจะไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน เพราะเป็นไปเพื่อการพัฒนาคุณภาพของการศึกษาโดยทั้งสิ้น เพียงแต่ที่มาของ OBM นั้นปรับรูปแบบบริบทของมันมาจากคำว่า Management by Objectives ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารธุกิจของปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ นั่นเอง
จากจุดเริ่มต้นของบทความ สู่ ณ ตอนนี้ คาดว่าผู้อ่านเองคงริเริ่มร่างแบบแผนคร่าวๆ ไว้ในหัว สำหรับการพัฒนาตนเองสู่การทำงานทีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย กำหนดตัวชี้วัดที่จะวัดว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำสอดรับกับหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ การปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการใช้ OBM บุคคลและองค์กรสามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ลดความสับสนในเป้าหมาย และเพิ่มศักยภาพในการปรับตัวได้ Objectives-Based Management ไม่เพียงแต่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายระยะสั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยกับ Concept ที่ว่า
"เป้าหมายที่ชัดเจนคือเข็มทิศสู่ความสำเร็จ".
Reference
1 : Quotefancy. (n.d.). Peter F. Drucker Quotes. Peter F. Drucker Quote: “Objectives are not fate; they are direction. They are not commands; they are commitments. They do not determine the...”
2 : ปรีดี บุญซื่อ. (10 กันยายน 2016). Peter F. Drucker กับคำถามที่สำคัญสุด 5 ข้อ ต่อองค์กรทั้งหลาย (ทั้งแสวงหาและไม่แสวงหากำไร. THAIPUBLICA. Peter F Drucker กับคำถามที่สำคัญสุด 5 ข้อ ต่อองค์กรทั้งหลาย (ทั้งแสวงหาและไม่แสวงหากำไร) - ThaiPublica
3 : Toronto School of Management. (2 August 2018). A Profile of Peter F. Drucker – Father of Modern Management. A profile of Peter F. Drucker – Father of Modern Management
4 : Him Apisit. (20 พฤษภาคม 2023). Knowledge Worker หรือแรงงานความรู้คืออะไร. Medium. Knowledge Worker หรือแรงงานความรู้คืออะไร | by Him Apisit | Medium
5 : กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551_TH Version (Edited 2566).pdf - Google ไดรฟ์
Categories
Hashtags