ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: อุปสรรคหรือโอกาส?
“We may have different religions, different languages, different colored skin, but we all belong to one human race.”
“เราอาจมีศาสนาที่ต่างกัน ภาษาแตกต่างกัน หรือสีผิวที่ต่างกัน แต่เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกัน”
— Kofi Annan
ความต่างเป็นเรื่องปกติของทุกคน ทั้งเรื่องใหญ่อย่างชาติพันธ์ไปจนถึงเรื่องปลีกย่อยยันเมนูอาหารของโปรด เหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความไม่ละม้ายคล้ายคลึงของเผ่าพันธุ์มนุษย์
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความอ่อนด้อยทางกายภาพเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่ทำให้จำเป็นต้องอยู่ร่วมอาศัยกันเป็นสังคมเพื่อดำรงชีพและดำรงเผ่าพันธ์ให้สามารถอยู่รอดได้ แต่ด้วยคุณลักษณะที่เหนือกว่าเผ่าพันธ์อื่นๆ บางประการ ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถพัฒนาวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันที่มีความสลับซับซ้อนและยังสามารถถ่านทอดและพัฒนาวัฒนธรรมของตนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีขอบเขตจำกัดแตกต่างไปจากสัตว์ประเภทอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มสังคมมนุษย์ซึ่งริเริ่มจากพื้นฐานของกลุ่มเครือวงศาคณาญาติได้ขยายขนาดและความซับซ้อนขึ้นจนกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้
พัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ได้ผ่านยุคสมัยที่สำคัญมานับจากการเป็นสังคมก่อนการเกษตร ที่ชุมชนของมนุษย์ยังมีขนาดเล็ก ผูกพันกันบนพื้นฐานของระบบเครือญาติอพยพโยกย้านถิ่นฐานในลักษณะที่เป็นสังคมล่าสัตว์เก็บของจากป่าดงพงไพร จากนั้นจึงมีการเพาะปลูกที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งมาถึงยุคสังคมอุตสาหกรรม ที่ชุมชนของมนุษย์เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานเป็นเวลายาวนานมากขึ้นและทำให้ชุมชนของพวกเขาขยายขนาดและเพิ่มความซับซ้อนอย่างรวดเร็ว พัฒนาเป็นรูปแบบนครรัฐ รัฐศักดินา รัฐชาติ และรัฐสมัยใหม่ ตามลำดับ ซึ่งตลอดเวลามีทั้งความเจริญและเสื่อมโทรมนับเรื่อยมา
จะว่าด้วยความหลายหลายทางวัฒนธรรม
ความหลากหลาย หมายความได้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนในแง่มุมต่างๆ อาทิ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา หรือสถานะทางสังคม การมีความหลากหลายในสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันได้ และยังมีประโยชน์แฝงไว้มากมาย อย่างการแลกเปลี่ยนทางความคิด การพัมนาแนวคิดใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ด้วยเหตุนี้ ณ ปัจจุบัน จะสังเกตเห็นได้ว่า องค์กรที่มีความหลากหลายมักจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะสามารถรับมือกับความท้าทายได้ดียิ่งขึ้น การทำงานร่วมกับผู้คนที่มีมุมมองและประสบการ์ที่แตกต่างกันไป จะช่วยให้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์ อีกทั้งยังส่งเสริมการยอมรับซึ่งกันและกัน รวมถึงลดอคติที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จึงเป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการอยูร่วมกันของมนุษย์ กลมกลืนระหว่างกลุ่มคนจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน แนวคิดดังกล่าวนี้มีความสำคัญในโลกที่มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนอย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แรงงานข้ามชาติ หรือการเดินทางเพื่อเจรจาธุรกิจ เหล่านี้ล้วนมีพื้นเดิมจากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น
การพัฒนาทักษะด้านวัฒนธรรมจึงเป็นแนวทางช่วยให้บุคคลสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความแตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น การเปิดรับและให้ความเคารพต่อวัฒนธรรมอื่นๆ ช่วยลดความขัดแย้งและช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ขณะที่ระบบการศึกษา การส่งเสริมวัฒนธรรมทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและเติมโตเป็นพลเมืองที่มีความเข้าใจและเคารพความแตกต่างของกันและกัน
จะพัฒนาอย่างไรได้บ้าง?
ตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นได้ยากยิ่งที่เราจะสามารถมองเห็นเรื่องทุกเรื่องไปในทางเดียวกันได้ เพราะต่างคนต่างมชุดความคิดที่แตกต่างกัน แต่เพื่อทำความเข้าใจและสำหรับการปรับให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นปกติสุข ให้เกิดข้อพิพาทขัดแย้งน้อยที่สุด
1. เปิดใจอย่างไร้อคติ ลดความเป็นตัวเอง
เป็นสิ่งหนึ่งที่พูดง่ายแต่ทำนั้นค่อนข้างยาก การเปิดใจ “ลอง” พาตนเองออกจากการรับข้อมูลเพียงด้านเดียว แล้วเริ่มฝืนตัวเองให้ลดอคติลง เป็นหนทางสำหรับเริ่มต้นที่จะช่วยให้และคนฝึกการเปิดใจและเข้าใจคนอื่นๆ ได้ ช่วงแรกอาจรู้สึกหงุดหงิด แต่ให้พยายามเป็นกลางมากที่สุด แล้วนำมาคิดพิจารณาตามด้วยวิธีการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ Critical Thinking [สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ได้ที่นี่] ถึงแม้เราจะยังเชื่อแบบเดิมอยู่ แต่ก็ช่วยให้เรามีข้อมูลมากยิ่งขึ้น และเป็นข้อมูลที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
2. พยายามรู้จักอีกฝ่าย
การพยายามรู้จักอีกฝ่าย อาจทำให้เราได้เห็นต้นตอว่าอะไรที่ทำให้คู่ตรงข้ามเรามีความเห็นเช่นนั้น เนื่องจากคนเราต่างมาจากคนละทิศดินแดน เรียนรู้ประการณ์ชีวิตมาไม่เท่ากัน การมีความคิดต่างกัน อาจมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เขาคนนั้นเคยพบเจอมา ไม่ใช่การไปตัดสินคนอื่นว่าถูกใครล้างสมองมารึเปล่า ถึงได้คิดแบบนี้ เมื่อต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน จะช่วยให้มีมุมมองที่เป็นมิตรกันมากยิ่งขึ้น
3. ฝึกทักษะการคิดเชิงวิพากษ์
เมื่อแต่ละคนมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม การมีความคิดแบบเดียวจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าส่งเสริมนัก หากแต่จะต้องรับเอาหลายๆ สิ่งมาชั่งน้ำหนัก หรือเอามาปรับใช้ตราบใดที่ไม่ส่งผลเสียต่อชีวิต ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ล้วนต้องอาศัยการคิดเชิงวิพากษ์ ดังที่ผู้เขียนได้เกริ่นมาแล้วในข้อที่ 1.
การคิดเชิงวิพากษ์สามารถฝึกฝนกันได้ โดยเริ่มต้นด้วยการรับสารอย่างตั้งใจ ไม่เอาอารมณ์ตัวเองตัดสิน เพื่อรับความรู้อย่างรอบด้านเข้าสู่กระบวนการคิด ต่อให้เรื่องนั้นๆ จะขัดใจก็ตาม
4. เน้นทำความเข้าใจ ไม่ใช่พยายามบังคับเปลี่ยนใจ
การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นพ้องต้องกันเสมอไป แต่ให้คงไว้ซึ่งมิตรภาพ ไม่จำเป็นต้องบังคับใครทั้งสิ้น เพราะนั่นเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะได้เลือก (หากแต่ก็จำต้องยอมรับต่อผลจากการเลือกของตนเองกันไปตามปัจเจก) การเปลี่ยนใจคนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ลึกๆ ต่างฝ่ายอาจยังเห็นต่างกัน แต่ก็อาจชักชวนให้มาตอบรับคาวมคิดแต่ละคนก็ได้ แต่ต้องไม่อยู่บนฐานการบังคับ หากผู้ใดจะเปลี่ยน เขาจะหาข้อมูลแล้วนำมาตกผลึกจากนั้นอาจเปลี่ยนด้วยตนเอง สิ่งที่ทำได้ของแต่ละคนจึงเป้นการทำความเข้าใจเพื่อให้อยู่อย่างไม่แตกแยกแค่นั้นพอ (แต่ก็ต้องว่าไปตามความถูกต้องนะครับ เช่น เราขอไม่สมานฉันท์กับคนทำผิดกฎหมายโดยไม่ว่ากล่าวตักเตือนกันเลย แบบนี้ปล่อยไปอาจหายนะ)
5. คิดไม่เหมือนกัน แต่ไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน
การไม่ละเมิดต่อกัน (เช่น การไปเหยียดชาติพันธุ์คนอื่น) ทำให้ต่างฝ่ายมีสัมพันธ์ที่ดีและได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประโยชน์กันมากยิ่งขึ้น ความแตกต่างจะไม่เป็นปัญหา ถ้าหากไม่ก้าวก่ายความเห็นของคนอื่น ไม่ละเมิดด้วยการตีตราหรือติดป้ายโยนใส่ใครแบบเหมาะรวม แล้วสาดความเกลี่ยดชังใส่เพราะเป็นคนละพวก การใช้ชีวิตแบบ “ต่างคนต่างอยู่” วางบางเรื่องแล้วทดไว้ในใจ ยามเมื่อเห็นอะไรที่ไม่ชอบหรือขัดใจโดยไม่เปิดสงครามออฟฟิศ บางที การไม่ละเมิดกันจนเกินเหตุนั้นมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่ใครหลายคนคิดไว้ก็เป็นได้
มาถึงจุดนี้ ทราบได้โดยทั่วกันว่า ในโลกปัจจุบันอันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ การมีความหลายทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เลี่ยงกันไม่ได้ในยุคนี้ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตทางสังคม ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่เพียงแต่เป็นทักษะที่สำคัญในชีวิตประจำวัน หากแต่เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นทางที่จะช่วยสร้างความสงบสุขและยั่งยืน
Reference
1 : GoodReads. (n.d.). Quotable Quote. Quote by Kofi Anan: “We may have different religions, different lang...”
2 : ชูพินิจ เกษมณี. (2547).“ความหลากหลายทางวัมนธรรมในสังคมพหุลักษณ์” Cultural Diversity In Pluralistic Society [รายงานผลการวิจัย]. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม.
3 : The OR Briefings. (n.d.). Cultural diversity – Definition and Explanation. Cultural diversity - Definition and Explanation - The Oxford Review - OR Briefings
4 : ธุวพล ทองอินทราช. (2021). กระบวนการส่งเสริมและพัฒนาความหลากหลายทางวัฒนธรรมท้องถิ่น
แบบมีส่วนร่วมของชุมชนไทยทรงดำจังหวัดชุมพร. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 6(12), 237-251.
5 : Sanook. (7 มิถุนายน 2566). เคล็ดลับการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง. เคล็ดลับการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง
6 : ฮานีฟ ไวยศิลป์. (11 พฤศจิกายน 2067). Critical Thinking ทักษะที่เยาวชนไทยยังขาด?. Contributor KMUTT. Critical Thinking ทักษะที่เยาวชนไทยยังขาด? - Contributor Platform
Categories
Hashtags